n เชื่อว่าพระคัมภีร์กุรอานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็นพระดำรัสของพระผู้เป็นเจ้าโดยแท้ ซึ่งพระองค์ทรงเป็นผู้เปิดเผย. n เชื่อว่าวันพิพากษา (วันฟื้นคืนชีพ) เป็นความจริงและจะมาถึง ตามที่พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสัญญาไว้ในพระคัมภีร์กุรอาน. n ยอมรับศาสนาอิสลามเป็นศาสนาของตนเอง n ไม่เคารพบูชาสิ่งอื่นใดหรือบุคคลใดนอกจากพระผู้เป็นเจ้า. พระศาสดามูหะหมัด ทรงตรัสว่า: {พระผู้เป็นเจ้าทรงโปรดการสารภาพบาปของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเมื่อเขาหันมาหาพระองค์เพื่อสารภาพบาปมากกว่าใครคนใดคนหนึ่งในพวกเจ้าที่จะทำเช่นนั้น สมมติว่าเขาขี่อูฐเข้าไปในป่ารกชัฏ และมันได้วิ่งหนีไปจากเขา นำเอาอาหารและน้ำดื่มของเขาไปด้วย ดังนั้น เขาจึงสูญสิ้นความหวังไปอย่างสิ้นเชิงในการได้อูฐกลับมา เขาจึงเดินไปยังต้นไม้และนอนแผ่หลาอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ดังกล่าว (เพื่อรอความตาย) เนื่องจากเขาสูญสิ้นความหวังทั้งหมดที่จะพบอูฐของเขา ต่อมา ขณะที่เขาอยู่ในสภาวะดังกล่าว (สิ้นหวัง) ทันใดนั้น อูฐตัวนั้นได้มาอยู่ตรงหน้าเขา! ดังนั้นเขาจึงคว้าเชือกผูกอูฐเอาไว้และร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความปิติตื้นตัน “โอ พระผู้เป็นเจ้า พระองค์คือข้ารับใช้ของข้าพเจ้า และข้าพเจ้าคือเจ้านายของพระองค์” ความผิดพลาดของเขาเกิดขึ้นจากความปิติอันเปี่ยมล้นของเขานั่นเอง.}2
_____________________________ เชิงอรรถ: (1)อย่างที่กล่าวมาแล้วนั้น ภาษาอารบิก คำว่า อัลเลาะห์ หมายความว่า พระผู้เป็นเจ้า (พระผู้เป็นเจ้าที่แท้จริง เพียงพระองค์เดียวซึ่งเป็นผู้สรรสร้างทั้งจักรวาล) คำว่าอัลเลาะห์นี้ เป็นพระนามของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งผู้พูดภาษาอารบิกเป็นผู้ใช้ ทั้งชาวมุสลิมที่เป็นอาหรับและชาวคริสเตียนที่เป็นอาหรับด้วย, (2) บรยายไว้ใน Saheeh Muslim เลขที่ 2747 และ Saheeh Al-Bukhari เลขที่ 6309.
โฮมเพจ: www.islam-guide.com |